ศาลฎีกาตัดสินจำคุก นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ และนายเกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์ 1 ปี โดยไม่รอลงการลงโทษ
ที่ห้องพิจารณา 805 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 24 ก.ค.58 เวลา 10.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษาฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.1886/2553ที่นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย และนายเกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์ อดีต ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย เป็นจำเลยที่1-2ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328
โดยโจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.53 ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่8มิ.ย.53เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองร่วมกันให้ข่าว สื่อมวลชนต่างๆ ว่า โจทก์ให้ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์เข้าพบเป็นการส่วนตัว ระหว่างที่มีการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ และกล่าวหาว่าโจทก์ประพฤติตนไม่เหมาะสม ไม่น่าเชื่อถือ ขัดต่อจริยธรรมของตุลาการ ขาดความยุติธรรม และขาดความเป็นกลาง อันเป็นเหตุทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชังฯ เหตุเกิดที่แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม.
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่31ก.ค.55 ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นการกล่าวหาโดยที่ไม่มีมูลความจริงนั้น ไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนการแถลงข่าว จึงไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ดังนั้นให้จำคุก จำเลยคนละ 1 ปี และปรับคนละ 50,000 บาท แต่จำเลยทั้งสองไม่เคยได้รับโทษทางอาญามาก่อน จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี โดยให้จำเลยทั้งสอง ร่วมกันเผยแพร่คำพิพากษาย่อใน นสพ.ไทยรัฐ มติชน และ กรุงเทพธุรกิจ เป็นเวลา 7 วันติดต่อกันด้วย
ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดีศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาวันที่ 12 ธ.ค.56 เห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการหมิ่นประมาท ฯ ขณะที่จำเลยที่ 1 จบการศึกษาระดับดุษฎีบัณฑิตและเป็นอาจารย์หลายสถาบัน ส่วนจำเลยที่2จบปริญญาตรี เป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.อุดรธานี และยังเป็นกรรมาธิการและรองกรรมาธิการหลายคณะ จำเลยจึงเป็นคนมีเกียรติ มีความน่าเชื่อถือของบุคคลทั่วไป ควรทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดีให้สังคมดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ศาลอุทธรณ์จึงแก้โทษเป็นว่า ให้จำคุก 1 ปีจำเลยทั้งสอง โดยไม่รอการลงโทษส่วนโทษปรับก็ให้ยกไป
ขณะที่จำเลยทั้งสอง ได้ยื่นฎีกา ต่อสู้ว่า การแถลงข่าวและแจกเอกสารข่าว เป็นการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพิจารณาคดี โดยขอให้ศาลพิจารณาลงโทษสถานเบาและขอให้รอการลงโทษไว้ก่อน
ศาลฎีกา ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า คดีนี้ตัวโจทก์ เบิกความเอง ซึ่งสอดคล้องกับเลขานุการหน้าห้อง และพยานอื่น ที่ยืนยันได้ว่า วันเกิดเหตุโจทก์ ไม่ได้พบเจอกับนายทศพล เพ็งส้ม ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ แต่อย่างใด การแถลงข่าวของจำเลยจึงเป็นการให้ข้อความอันเป็นเท็จต่อสื่อมวลชนที่ จำเลยเล็งเห็นอยู่แล้วสื่อจะนำไปเผยแพร่ ซึ่งใช้สื่อมวลชน เป็นเครื่องมือในการหมิ่นประมาทโจทก์ ทำให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดได้ว่า โจทก์ ไม่มีความเป็นกลาง ที่จำเลยอ้างว่าการแถลงข่าวเป็นการแสดงความคิดนั้น จึงฟังไม่ขึ้น ที่โทษศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นเหมาะสมแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย จึงพิพากษายืนจำคุก1ปี โดยไม่รอลงการลงโทษ